คงแก่เรียน หมายถึงนักดนตรีที่มีทั้งความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์มาอย่างมากมาย ใครขอให้ทำอย่างใดก็ทำได้ทั้งนั้น และใครจะขอต่อเพลงประเภทใดก็มีให้ต่อเสมอ พูดง่ายๆก็คือ ไม่จนความรู้นั่นแล
______________________________
ครวญ เป็น วิธีร้องอย่างหนึ่งซึ่งสอดแทรกเสียงเอื้อนยาว ๆ ให้มีสำเนียงครวญคร่ำรำพัน และ เสียงเอื้อนที่สอดแทรกนี้มักจะขยายให้ทำนองเพลงยาวออกไปจากปรกติ อธิบาย: เพลงที่จะแทรกทำนองครวญเข้ามานี้ ใช้เฉพาะแต่เพลงที่แสดงอารมณ์ โศกเศร้า เช่น เพลงโอ้ปี่ และเพลงร่าย (ในบทโศก) เป็น ต้น และบทร้องทำนองครวญ ก็จะต้องเป็นคำกลอนสุดท้ายของบทนั้น ซึ่งเมื่อร้องจบคำนี้แล้วปี่พาทย์ก็จะบรรเลง เพลงโอดประกอบกิริยาร้องไห้ติดต่อกันไป
______________________________
ครอบ มีความหมายเป็นการประสิทธิ์ประสาทให้ ถ้าจะเทียบกับทางการศึกษาทั่วไปก็คือ การประสาทปริญญานั่นเอง
ในทางดุริยางค์ไทยนั้น การครอบมี ๓ ครั้ง คือ
ครั้งที่ ๑ เป็นการครอบเพื่อให้เรียนเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงต่อไป อันนี้เท่ากับเป็นการประสาท “ปริญญาตรี” คือ เป็นการยอมรับว่า ศิษย์ผู้นั้นมีความสามารถที่จะเป็นศิลปินได้เต็มตัวแล้ว บัดนี้ต้องการศึกษาวิชาขั้นสูงขึ้น (ปริญญาโท) จึงได้ครอบให้
ครั้งที่ ๒ เป็นการครอบเพื่ออนุมัติให้ผู้นั้นไปสั่งสอนสานุศิษย์อื่นๆได้ต่อไป การครอบครั้งนี้เรียกกันทั่วๆไปว่า “มอบไม้” คือครูจะประสิทธิ์ประสาทพร้องทั้งมอบไม้ตีเครื่องดนตรีต่างๆให้ เป็นเครื่องหมายว่า บัดนี้ศิษย์จะเป็นครูที่สมบูรณ์ และสามารถจะสั่งสอนสานุศิษย์ด้วยเครื่องดนตรีตามที่มอบให้นั้นได้ แต่จะเอาเครื่องดนตรีอื่นที่ยังไม่ได้มอบไปสอนไม่ได้ เช่น มอบไม้ตีระนาดและฆ้องทั้งหมดให้ ศิษย์ก็จะสอนได้เฉพาะแต่ระนาดกับฆ้องเท่านั้น จะไปสอนตะโพนหรือเครื่องดนตรีอื่นๆที่ยังมิได้รับมอบไม่ได้
การครอบครั้งนี้เทียบได้กับการประสาท “ปริญญาโท” คือครูเห็นว่าศิษย์มีความดี และมีความพากเพียรจนสามารถเรียนเพลงชั้นสูงได้เกือบครบถ้วนกระบวนความ จึงได้มอบ “ความเป็นครู” ให้แก่ศิษย์ผู้นั้น
ครั้งที่ ๓ เป็นการครอบเพื่อให้ศิษย์ผู้นั้นสามารถอ่านโองการประกอบพิธีไหว้ครูแทนตัวครูต่อไปได้ ถ้าจะเทียบก็เท่ากับเป็นการประสาท “ปริญญาเอก” ในทางดนตรีให้แก่ศิษย์นั่นเอง
การครอบครั้งสุดท้ายนี้ครูจะต้องระวังมาก คือ จะต้องเลือกเฟ้นครอบให้เฉพาะแก่ศิษย์ที่สมควรจริงๆหลักสำคัญที่ครูจะพิจารณาก็คือ
ก) วัยวุฒิ การที่จะได้รับมอบโองการนั้น ศิษย์ควรต้องมีวัยวุฒิพอสมควร มิฉะนั้นก็จะยังไม่เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ศิษย์บางคนถึงจะมีวิชาเก่งกล้าสามารถแต่มีอายุแค่ ๒๐ ปี อย่างนี้ก็คงไปไม่ไหว ฉะนั้นท่านจึงตั้งเป็นหลักไว้เลยว่า ผู้ที่จะได้รับมอบโองการต้องมีอายุตั้งแต่ ๓๕ ปีขึ้นไป
ข) คุณวุฒิ ผู้ที่ได้รับมอบจะต้องมีวิชาความรู้ในทางดนตรีอยู่ในชั้นสูงเยี่ยม คือ รู้เพลงเรื่อง เพลงหน้าพาทย์ และอื่นๆ แทบจะไม่มีขาดตกบกพร่อง ทั้งนี้เพราะถ้าผู้ที่อ่านโองการเล่นหน้าพาทย์ไม่ได้ จะไปเรียกให้ปี่พาทย์ทำแพลงหน้าพาทย์นั้นประกอบพิธีไหว้ครูไม่ได้เป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ทางที่ดีที่สุด ต้องรู้หน้าพาทย์เสียให้มันครบถ้วนกระบวนความ
ค) เจริญวุฒิ ถึงแม้จะมีความรู้ดีเยี่ยม และมีวัยอันสมควรแก่การที่จะอ่านโองการการประกอบพิธีไหว้ครูได้แล้วก็ตาม แต่ถ้าศิษย์ผู้นั้นยังมีความประพฤติไม่สมควร ครูก็จะยังไม่ “ครอบ” ให้ เพราะการที่เอาโองการอันศักดิ์สิทธิ์ไปครอบให้แก่คนเลวนั้น ย่อมเป็นการไม่สมควรอย่างบิ่ง ในกรณีเช่นนี้ครูจะหมั่นอบรมส่งสอนให้ประพฤติตนอยู่ในกรอบแห่งธรรม เมื่อครูแน่ใจว่ามีความประพฤติดีจริงๆแล้ว จึงจะทำพิธี “ครอบ” และมอบโองการให้
______________________________
คร่อม คือ การบรรเลงทำนองหรือบรรเลงเครื่องประกอบจังหวะ หรือร้องดำเนินไปโดยไม่ ตรงกับจังหวะที่ถูกต้อง เสียงที่ควรจะตกลงตรงจังหวะกลายเป็นตกลงในระหว่าง จังหวะซึ่งกระทำไปโดยไม่มีเจตนา และถือว่าเป็นการกระทำที่ผิด เรียกอย่างเต็มว่า “คร่อมจังหวะ”
______________________________
ครั่น เป็นวิธีที่ทำให้เสียงสะดุดสะเทือน เพื่อความไพเราะเหมาะสมกับทำนองเพลงบางตอน อธิบาย : การ ทำเสียงให้สะดุดและสะเทือนที่เรียกว่าครั่นนี้ ใช้เฉพาะกับการขับร้อง หรือเครื่องดนตรีประเภทเป่า เช่น ปี่ ขลุ่ย และเครื่องดนตรีประเภทสี เช่น ซอต่าง ๆ เท่านั้น การขับร้องคั่นด้วยคอ เครื่องดนตรีประเภทเป่า ครั่นด้วยลมจากลำคอและเครื่อง ดนตรีประเภทสีครั่นด้วยคันสี (หรือคันชัก)
______________________________
ครึ่งชั้น เป็นเพลงในอัตราที่ตัดลงมาจากชั้นเดียวอีกเท่าตัว ตามปกติเพลงจะมีอัตรา ๓ ชั้น ๒ ชั้น และชั้นเดียว โดย ๒ ชั้นตัดครึ่งลงมาจากอัตรา ๓ ชั้นและชั้นเดียวตัดครึ่งลงมาจากอัตรา ๒ ชั้น ต่อมามีผู้นิยมตัดครึ่งจากอัตราชั้นเดียวลงมาอีกทีหนึ่ง เพลงในอัตราใหม่นี้จึงเรียกว่าเพลง “ครึ่งชั้น”
ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราจะพูดว่าเพลงชั้นเดียวยืดขยายเป็นทวีคูณขึ้นมาจากอัตราครึ่งชั้น และเพลง ๒ ชั้น กับ ๓ ชั้น ยืดขยายเป็นทวีคูณขึ้นมาจากเพลงในอัตราชั้นเดียว และ ๒ ชั้นตามลำดับก็ย่อมได้ ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้มีผู้คิดอ่านยืดขยายเพลงในอัตรา ๓ ชั้น ขึ้นไปอีกเท่าตัว จึงเกิดเป็นอัตราใหม่ขึ้นอีกอัตราหนึ่ง ได้แก่เพลงในอัตรา “๔ ชั้น” (โปรดดูคำว่า “สี่ชั้น” ประกอบไปด้วย)
______________________________
ครู ในทางดนตรีคำว่า “ครู” มิได้หมายถึงมนุษย์ธรรมดาที่สั่งสอนวิชาดนตรีให้แก่ศิษย์เท่านั้น หากยังหมายรวมถึงครูที่เป็นเทพ พรหม ฤษี และอสูรอีด้วย เช่น พระนารายณ์ พระอิศวร พระคเณศ พระปัญจสิงขร พระประคนธรรพ พระวิษณุกรรม พระครูพิราพ และพระฤษีทั้ง ๗ พระองค์ เป็นต้น เหล่านี้นับเป็น “ครู” ทางดนตรีทั้งนั้น
______________________________
ครูพักลักจำ หมายถึงครูที่เราแอบไปจำเอาของของท่านมา ไม่ว่าจะจำทางหรือจำวิธีปฏิบัติเป็นพิเศษ หรือจำลูกเด็ดๆอะไรของท่านมาก็ตาม ถือว่าท่านเป็นครูพักลักจำทั้งสิ้น ในการไหว้ครูเราก็ต้องนึกถึงครูเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
______________________________
คลอ เป็น การบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับการร้องเพลง โดยดำเนินทำนองเป็นอย่างเดียวกัน คือ บรรเลงไปตามทางร้อง เช่น ซอสามสายสีคลอไปกับเสียงร้อง เป็นต้น เปรียบเทียบ ก็เหมือนคน ๒ คนเดินคลอกันไป เคล้า เป็นการบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับการร้องเพลง (เช่นเดียวกับคลอ ดูคำว่า คลอ) โดย เพลงเดียวกัน แต่ต่างก็ดำเนินทำนองไปตามทางของตน คือร้องก็ดำเนินไปตามทางร้อง ดนตรีก็ดำเนินไปตามทางดนตรี ยึดถือแต่เนื้อเพลง จังหวะ และเสียงที่ตกจังหวะ (หน้าทับ) เท่านั้น เช่น การร้องเพลงทะแย ๒ ชั้น ในตับพรหมาสตร์ที่มีบทว่า “ช้างเอย ช้างนิมิต เหมือนไม่ผิดช้างมัฆวาน ฯลฯ” ซึ่ง คนร้องดำเนินทำนองไปอย่างหนึ่ง ดนตรี ก็ดำเนินทำนองไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นเพลงทะแยที่ ร้องและบรรเลงไปพร้อม ๆ กัน เทียบได้กับการคลุกเคล้าปรุงรสอาหารให้รสเปรี้ยวเค็มเข้าผสมผสานกันให้โอชา รส วิธีการเช่นนี้บางท่านเรียกว่า “คลอ”
______________________________
ควง คำนี้ถ้าเป็นนามก็หมายถึง “เสียงควง” ถ้าเป็นการก็หมายถึงการ “ควงนิ้ว” เพื่อให้เกิดเสียงควงดังกล่าว
เฉพาะเครื่องดนตรีที่ใช้นิ้ว เช่น ปี่ ซอ และขลุ่ยต่างๆ เท่านั้น ที่จะทำ “เสียงควง” ได้ เครื่องดนตรีอื่นๆทำไม่ได้ หรือทำได้ก็ยากเต็มที ที่เรียกว่า “เสียงควง” นี้ก็คือ เสียงเลียนกัน นั่นเอง เสียงดังกล่าวนี้ความจริงเป็นเสียงเดียวกัน แต่เกิดจากการใช้นิ้วที่ไม่เหมือนกัน เช่น สีซอด้วงสายเอกเปล่าตามปกติเป็นเสียง “เร” หรือจะสีสายทุ้งโดยปิดหมด ๔ นิ้วก็เป็นเสียง “เร” เหมือนกัน แต่สำเนียงต่างกันไปทีเดียว ดังนี้เป็นต้น หรือการที่ปี่เป่าเป็นเสียง “ตือ–ฮือ” “แต-แฮ” พวกนี้ก็ถือเป็น “เสียงควง” เหมือนกันทั้งสิ้น
เสียงควงจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ ปิดเปิดนิ้วตามปกติครั้งหนึ่งและปิดเปิดนิ้วอย่างอื่นให้ผิดไปจากปกติ แต่ได้เสียงเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ควบคู่กันไปอย่างน้อย ๑ คู่ (เช่น ตือ–ฮือ) หรือจะมากกว่า ๑ คู่ (เช่น ตือ-หื่อ ตือ-ฮือ ตื้อ-ฮื้อ) ก็ได้ อาการที่ปิดเปิดนิ้วให้เป็นเสียง “ควง” นี้ท่านเรียกว่า “ควงนิ้ว”
______________________________
คันชักเกิด หมายถึงการสีซอโดยดึงคันชักออกมา สมัยนี้มักเรียกกันว่า “คันชักออก”
______________________________
คันชักดับ หมายถึงการสีซอโดยส่งคันชักเข้าไป สมัยนี้มักเรียกว่า “คันชักเข้า”
เพลงไทยทั้งหลายนั้น เมื่อเริ่มต้นจะต้องสี “คันชักออก” เสมอ ฉะนั้นคันชักนี้จึงเป็น “คันชักเกิด” และเมื่อจบวรรคหนึ่งหรือจบเพลงลงแล้ว จะต้องสี “คันชักเข้า” เสมอ ฉะนั้นคันชักนี้จึงเป็น “คันชักดับ” ซึ่งแสดงว่าหมดคันชักแล้ว หากจะเริ่มต่อต้องไปสี “คันชักเกิด”
______________________________
คาบลูกคาบดอก เป็นวิธีบรรเลงเพลงอย่างหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยการ “เก็บ” และ “รัว” สลับกันไป ซึ่งโดยมากก็เป็นทางเดี่ยวเฉพาะของระนาดเอกเท่านั้น เครื่องดนตรีอื่นๆ ถึงจะทำ “คาบลูกคาบดอก” ได้ก็ไม่น่าฟังเท่าใดนัก
ที่เรียกว่า “คาบลูกคาบดอก” นี้ คงหมายถึงว่า “เก็บ” นั้นเป็นลูก ส่วน “รัว” เป็นดอก เมื่อเอาทั้งเก็บและรัวมาบรรเลงสลับกันไป จึงเรียกว่าทาง “คาบลูกคาบดอก”
______________________________
คุ่ม ในการดีดจะเข้นั้น ท่านใช้เฉพาะนิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง กดสะบัดกันลงไปบนสาย (เว้นแต่สายลวดจึงจะใช้นิ้วหัวแม่มือเข้าช่วย) การกดนี้ถ้าวางนิ้วราบลงไปก็ดูไม่สวย จำเป็นต้องวางนิ้วในลักษณะโค้งให้ปลายนิ้วลงไปกดบนสายจึงจะดูสง่าและสวยงาม อาการเช่นนี้ที่ท่านเรียกว่า “คุ่ม” เรียกเป็นนามว่า “นิ้วคุ่ม”
______________________________
คู่ หมายความถึง เสียงที่เป็นคู่หรือ ๒ เสียง โดยทั่วไปหมายถึงคู่ที่เป็นมือฆ้องซึ่งอาจจะเป็นคู่ ๒ คู่ ๓ เรื่อยขึ้นไปถึงคู่ ๖ และคู่ ๘ คงเว้นแต่เฉพาะคู่ ๗ เท่านั้นที่ไม่มีใครใช้ แปลว่าภายในคู่ ๘ นั้น เราจะจัดให้มีคู่เสียงประสานกันอย่างไรก็ได้ ยกเว้นคู่ ๗ แล้วเป็นใช้ได้ทั้งนั้น ขอแต่ใช้ให้เหมาะสมเป็นใช้ได้
คู่เสียงนี้จะบรรเลงให้ดังพร้อมกัน หรือดังคนละทีก็ได้ แต่ส่วนมากก็มักจะบรรเลงให้ดังพร้อมกันเป็นคู่ระสานอนึ่งที่เรียกว่าคู่เสียงเท่านั้นเท่านี้ หมายถึงว่าเรานับจากมือซ้ายที่กำลังตีอยู่ไปถึงมือขวาที่กำลังตีเช่นกัน เช่น มือซ้ายอยู่ห่างจากมือขวา ๕ เสียงก็เรียกว่า “คู่ ๕” ดังนี้เป็นต้น
โดยปกติระนาดจะบรรเลงเก็บเป็นคู่ ๘ แต่ในเพลงสมัยใหม่นี้ ท่านทำหนทางให้ระนาดเอกบรรเลงเป็นคู่ต่างๆได้หลายคู่ เช่นเดียวกับฆ้องวงเหมือนกัน
______________________________
เคล้า คือการบรรเลงดนตรีทั้งวงหรือเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ควบคู่ไปกับการร้องเช่นเดียวกับการ “คลอ” ผิดกันแต่ว่าการ “เคล้า” นี้ นักร้องและนักดนตรีต่างดำเนินทางของตนเป็นอิสระ คือ นักร้องก็ร้องของตนไป นักดนตรีก็บรรเลงไป โดยไม่ต้องกลัวว่าลูกตกจะลงกันหรือไม่ ฉะนั้นอาจจะบรรเลงไปคนละเพลงกับที่คนร้องกำลังร้องก็ได้ ขออย่างเดียวให้ระดับเสียงของทางร้องกับทางดนตรีตรงกัน และให้ทำนองของทั้งสองฝ่ายฟังกลมกลืนกันเป็นใช้ได้
ตัวอย่างของการ “ร้องเคล้า” ก็เช่นเพลง “เห่เชิดฉิ่ง” ในเพลงตับเรื่องรามเกียรติ์ ตอนอินทรชิตแผลงศรนาคบาศ เป็นต้น เพลงนี้คนร้องเป็นทำนองเห่ แต่นักดนตรีกลับบรรเลงเป็นเพลงเชิดฉิ่งคู่กันไป ซึ่งความจริงเป็นคนละเพลงทีเดียว แต่โดยที่ระดับเสียงมันตรงกันและทำนองของทั้งสองเพลงมันกลมกลืนกันได้สนิทดี การผสมผสานระหว่างทางร้องกับทางดนตรีจึงทำให้เกิดความไพเราะเพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก