พระปรคนธรรพ


ในวงการดนตรีไทย มีสิ่งหนึ่งที่ปฏิบัติกันมายาวนาน ก็คือ การไหว้ โดยส่วนใหญ่ หรือแทบจะทุกคนก่อนจะเริ่มเล่นเครื่องดนตรีก็จะต้องยกมือไหว้ และเมื่อเลิกเล่นก็จะยกมือไหว้อีก บางคนก็จะกราบลงกับเครื่องดนตรี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านักดนตรีไทยทุกคนถือว่า เครื่องดนตรีไทยทุกชนิดจะมีครูบาอาจารย์สิงสถิตอยู่นั่นเอง

นอกจากนี้นักดนตรีไทยก็ยังมีความเชื่ออีกว่าเครื่องดนตรีไทยถูก สร้างขึ้นมาจากเทพยดา หรือจะบอกอีกแบบหนึ่งว่า ศาสตร์ของดนตรีไทยถูกสร้างขึ้นมาจาก ดุริยะเทพ ก่อนที่จะมาเผยแพร่ให้แก่มนุษย์ ซึ่งทั้งหมดนี้คือการแสดงถึงศรัทธาของนักดนตรีไทยที่มีต่อบรมครูที่เป็นเทพ ซึ่งก็มีอยู่หลายองค์ แต่ละองค์ก็จะเป็นเทพแห่งศาสตร์ในแขนงต่างๆ เช่น พระปรคนธรรพ ก็จะเป็นที่นับถือกันมากในหมู่ของนักปี่พาทย์ หรือนักดนตรีใน วงปี่พาทย์ นั่นเอง เพราะว่านักดนตรีปี่พาทย์จะทราบกันดีว่า พระปรคนธรรพ ก็คือ ครูตะโพน และตะโพนทุกๆ ใบก็คือตัวแทนของพระปรคนธรรพ

ด้วยเหตุนี้เองนักดนตรีปี่พาทย์ส่วนใหญ่จะไม่รับประทาน หรือบริโภคเนื้อวัว เพราะว่าตะโพนที่พวกเรากราบไหว้ และนับถือ เป็นพระปรคนธรรพ ทำด้วยหนังวัว จึงไม่สามารถไหว้หนังแล้วกินเนื้อ และถ้าท่านผู้อ่านเริ่มที่จะศรัทธาต่อพระปรคนธรรพ หรือเทพองค์อื่นก็ควรจะหยุดบริโภคเนื้อวัว และอีกอย่างหนึ่งการไม่บริโภคเนื้อวัวก็จะทำให้เราได้กุศล และมีชีวิตที่ดีขึ้น

พระปรคนธรรพ มีกำเนิดมาจากหน้าผากของ พระพรหม (ผู้สร้างโลก) โดยพระพรหมสร้างพระปรคนธรรพให้จุติเป็น คนธรรพ ซึ่งก็คือเทวดาที่เป็นนักดนตรีอยู่บนสรวงสวรรค์ และต่อมาได้กลายมาเป็น เทวะฤๅษี มีนามว่า พระนารทมุนี หรือกล่าวโดยง่ายว่า พระนารทมุนี คือเทวดาที่บำเพ็ญตนเป็นฤๅษี (ไม่ใช่มนุษย์ที่เป็นฤๅษี เหมือนกับที่เราเห็นในรายการทีวี) จึงทำให้เหล่าคนธรรพบนสวรรค์จะให้ความเคารพ และยำเกรงต่อพระนารทมุนี หรือพระปรคนธรรพเป็นอย่างมาก ผมจะขอย้อนไปในเรื่อง ตำนานเพลงสาธุการ สักนิดหนึ่ง คือเมื่อครั้ง พระพุทธเจ้า ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการซ่อนตนไปอยู่บนพระเกศาของ พระอิศวร เมื่อครั้งที่ทั้งสองพระองค์ได้ประลองฤทธิ์กัน และสุดท้ายพระพุทธเจ้าไม่ยอมเสด็จลงมาจากพระเกศาของพระอิศวร จนกว่าพระอิศวรจะให้เหล่าเทวดา หรือคนธรรพบรรเลง เพลงสาธุการ จึงจะยอมเสด็จลงมา และพระอิศวรจึงรับสั่งให้เหล่าคนธรรพบรรเลงเพลงสาธุการเพื่อเป็นการอัญเชิญ พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากพระเกศา ซึ่งในคราวนั้นเหล่าเทวดา คนธรรพทั้งมวลก็เริ่มจะบรรเลงเพลงสาธุการ แต่เมื่อเหล่าคนธรรพทั้งมวล ซึ่งให้ความนับถือ และยำเกรงต่อพระนารทมุนี หรือพระปรคนธรรพจึงได้ให้ท่านผู้เป็นใหญ่ในคนธรรพ ขึ้นเพลงสาธุการด้วยตะโพนก่อนผู้อื่น และจากครั้งนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ ถ้าบรรเลงเพลงสาธุการก็จะต้องให้ตะโพนขึ้นนำมาก่อนทุกครั้ง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้นักดนตรีปี่พาทย์ให้ความเคารพต่อตะโพน เปรียบเป็นพระปรคนธรรพ

พระปรคนธรรพ นอกจากในวงการของนักดนตรีปี่พาทย์แล้ว ในสายของ โขน ละคร จะมีศีรษะเป็นเหมือนกับหัวโขนซึ่งจะมีลักษณะเป็นหน้ามนุษย์มีสีเขียวแก่ทั้ง ใบหน้า และมีชฎาดอกลำโพงอยู่บนศีรษะ ซึ่งก็จะมีเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่เป็นประจำว่าพระปรคนธรรพจะต้องเป็นสีขาว เพราะเนื่องจากว่าครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงเครื่องนุ่งขาวห่มขาวเป็นลักษณะของฤๅษี และถือไม้เท้ายาวข้างขวา ซึ่งนักดนตรีไทยส่วนใหญ่ก็จะมีบูชาที่บ้านในลักษณะของรูปภาพ ซึ่งหลายคนให้ความเคารพว่าเป็นพระปรคนธรรพในร่างของรัชกาลที่ 6 จึงทำให้ผู้ที่มีความนับถือรูปภาพนั้น ก็จะบอกว่าพระปรคนธรรพเป็นสีขาว แต่ก็จะมีอีกหลายคนบอกว่าภาพของรัชกาลที่ 6 นั้น ท่านทรงเครื่องแต่งเป็น พระปัญจสีขร และนุ่งขาวห่มขาวเหมือนกับศีรษะโขนที่เป็นสีขาว จึงทำให้เป็นที่ขัดแย้งกันอยู่พอสมควร แต่ผมลองพิจารณาด้วยตัวเองก็เห็นว่าภาพนั้น รัชกาลที่ 6 ท่านทรงเครื่องเป็นลักษณะของฤๅษี เพราะฉะนั้นก็สมควรที่จะเป็นพระปรคนธรรพมากกว่าพระปัญจสีขรที่ไม่ได้เป็น ฤๅษี แต่อย่างไรก็ดี ความคิดของผมก็มิได้ถือเป็นมติเอกฉันท์ ใครจะนับถือเป็นอย่างไรก็สุดแท้ แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์