เครื่องเป่า
21 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in ดนตรีไทยแบ่งตามประเภท, ดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะ, เครื่องเป่า ป้ายกำกับ:เครื่องดนตรีไทย, เครื่องเป่า
เครื่องตี
21 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in ดนตรีไทยแบ่งตามประเภท, ดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะ, เครื่องตี ป้ายกำกับ:เครื่องดนตรีไทย, เครื่องตี
เครื่องสี
21 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in ดนตรีไทยแบ่งตามประเภท, ดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะ, เครื่องสี ป้ายกำกับ:ซอ, เครื่องดนตรีไทย, เครื่องสี
เป็นเครื่องสายที่ทำให้เกิดเสียงด้วยการใช้คันชักสีเข้ากับสายในดนตรีไทย เรียกว่า ซอ ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิด ด้วยกัน คือ ซอสามสาย ซออู้ และซอด้วงที่เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านได้แก่ สะล้อ เป็นต้น
ซอด้วง
ซอด้วง
ซอด้วง เป็นซอสองสาย เป็นซอที่มีเสียงแหลมเล็กที่สุดในเวลาเข้าประสมวง จะทำหน้าที่เป็นผู้นำวง โดยบรรเลงทำนองหลักด้วยทำนองหวานบ้าง เก็บบ้าง หรือเร็วบ้าง ตามความเหมาะสมที่มีอยู่ในเพลง
คันทวนซอด้วงยาวประมาณ 72 ซม คันชักยาวประมาณ 68 ซม ใช้ขนหางม้าประมาณ 120 – 150 เส้น กะโหลกของ ซอด้วงนั้น แต่เดิมใช้กระบอกไม้ไผ่มาทำ ปากกระบอกของซอด้วงกว้างประมาณ 7 ซม ตัวกระบอกยาวประมาณ 13 ซม กะโหลกของซอด้วงนี้ ในปัจจุบันใช้ไม้จริง หรือ งาช้างทำก็ได้
แต่ที่นิยมว่าเสียงดีนั้น กะโหลกซอด้วงต้องทำด้วยไม้ลำเจียก ส่วนหน้าซอนิยมใช้หนังงูเหลือมขึง เพราะทำให้เกิดเสียงแก้วเกิดความไพเราะอย่างยิ่ง ลักษณะขอซอด้วง มีรูปร่างเหมือนกับซอของจีนที่เรียกว่า ฮู – ฉิน (Huchin) ทุกอย่าง เหตุที่เรียกว่า ซอด้วง ก็เพราะมีรูปร่างคล้ายเครื่องดักสัตว์ เพราะตัวด้วงดักสัตว์ ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่เหมือนกัน จึงได้เรียกชื่อไปตามลักษณะนั้นนั่นเอง
สายซอด้วงนั้น มีเพียงสองสายและมีเสียงอยู่ สองเสียง คือสายเอกจะเป็นเสียง “เร” ส่วนสายทุ้มจะเป็นเสียง “ซอล” โดยใช้สายไหมฟั่นหรือว่าสายเอ็นก็ได้
ที่เรียกว่า ด้วง มีส่วนประกอบ ดังนี้
– กระบอก เป็นส่วนที่อุ้มเสียงให้เกิดกังวาน รูปร่างเหมือนกระบอกไม้ไผ่ ทำด้วยไม้เนื้อแข็งบางทีทำด้วยงาช้าง ไม้ที่ใช้ทำต่างชนิดกันจะให้คุณภาพเสียงต่างกัน เช่น เสียงนุ่ม เสียงกลม เสียงแหลม เป็นต้น ด้านหน้าของกระบอกมีวัสดุบาง ๆ ขึงปิด นิยมใช้หนังงูเหลือม นอกนั้นอาจเป็นหนังลูกวัว หนังแพะ หรือใช้กระดาษว่าวปิดซ้อนกันหลาย ๆ ชั้นก็ได้
– คันซอ ทำด้วยไม้หรืองาช้าง ลักษณะกลมยาว สอดปักที่กระบอกตั้งตรงขึ้นไป แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงบนตั้งแต่ใต้ลูกปิดขึ้นไปจนถึงปลายคัน รูปร่างคล้ายโขนเรือ เรียกว่า “โขน” ปลายโอนโค้งงอนไปทางด้านเปิดของกระบอก ช่วงล่วงนับตั้งแต่ลูกบิดลงไปเรียกว่า “ทวนล่าง”
– ลูกบิด มีอยู่สองลูก เสียบอยู่ที่ช่วงล่างของโขน ปลายลูกบิดเจาะรูไว้สำหรับร้อยสายซอ เพื่อขึงให้ตึงตามที่ต้องการ ลูกบิดลูกบน สำหรับสายเสียงต่ำ เรียกว่า ลูกบิดสายทุ้ม ลูกบิดลูกล่าง สำหรับสายที่มีเสียงสูง เรียกว่า ลูกบิดสายเอก
– รัดอก เป็นบ่วงเชือกสำหรับรั้งสายซอ นิยมใช้ขนาดเดียวกับสายเอก ใช้ผูกรั้งสายซอทั้งสองเข้ากับทวนล่าง
– หย่อง เป็นไม้ชิ้นเล็กใช้หมุนสายซอให้พ้นขอบกระบอก และเป็นตัวรับความสั่นสะเทือนจากสายซอไปสู่หน้าซอ
– คันชัก ทำ ด้วยไม้เนื้อแข็งหรืองาช้าง รูปโค้ง ด้ามมือจับมีหมุดสำหรับให้เส้นหางม้าคล้อง อีกด้านหนึ่งเจาะรูไว้ร้อยเส้นหางม้า ซึ่งมีประมาณ 250 เส้น สอดเส้นหางม้าให้อยู่ภายในระหว่างสายเอกกับสายทุ้ม สำหรับสี
การเทียบเสียง เทียบเสียงให้ตรงกับเสียงขลุ่ยเพียงออ ทั้งสายเอกและสายทุ้ม โดยใช้สายเอกเป็นหลัก
ซอสามสาย
ซอสามสาย เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง จำพวกเครื่องสาย มีขนาดใหญ่กว่าซอด้วงหรือซออู้ และมีลักษณะพิเศษ คือมีสามสาย มีคันชักอิสระ กะโหลกซอมีขนาดใหญ่ นับเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสง่างามชิ้นหนึ่งในวงเครื่องสาย ผู้เล่นจะอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าของวง
ประวัติ
ปรากฏหลักฐานจากจดหมายเหตุ ลาลูแบร์ (หน้า 30) ที่บันทึกไว้ว่า “….ชาวสยามมีเครื่องดุริยางค์เล็กๆ น่าเกลียดมาก มีสามสายเรียกว่า “ซอ” ….” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนนั้น มีซอสามสายและนิยมเล่นกัน และลักษณะรูปร่างของซอสามสายก็คงจะยังไม่สวยงามมากอย่างในปัจจุบันนี้
จนมาถึงยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 สืบเนื่องมาจากที่พระองค์ท่านมีอัจฉริยภาพในทางศิลปะด้านต่างๆ เช่น ทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารวัดสุทัศน์เทพวรารามด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง อีกประการหนึ่ง พระองค์ท่านยังโปรดทรงซอสามสายเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้พระองค์ท่านได้ประดิษฐ์คิดสร้างซอสามสายได้ด้วยความประณีต งดงาม และเป็นแบบอย่างมาจนถึงปัจจุบันนี้
ส่วนต่าง ๆ ของซอสามสายมีชื่อเรียกดังนี้
1. ทวนบน เป็นส่วนบนสุดของคันซอ คว้านด้านในให้เป็นโพรงโดยตลอด ด้านบนสุดมีรูปร่างเป็นทรงเทริด ทวนบนนี้ เจาะรูด้านข้างสำหรับใส่ลูกบิด 3 ลูก ด้านหน้าตรงปลายทวนตอนล่าง เจาะรูสำหรับร้อยสายซอ ที่สอดออกมาจากรัดอก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อกซอ ทวนบนนี้ทำหน้าที่คล้าย ๆ กับท่ออากาศ (Air column) ให้เสียงที่เกิดจากกะโหลกเป็นความถี่ของเสียง แล้วลอดผ่านออกมาทางทวนบนนี้ได้
2. ทวนล่าง คือส่วนของซอที่ต่อลงมาจากทวนบน ทำเป็นรูปทรงกระบอก และประดิษฐ์ลวดลายสวยงาม เช่นลงยาตะทอง ลงถมปัด ประดับมุก หรืออย่างอื่น เป็นการเพิ่มความวิจิตรงดงาม และเรียกทวนล่างนี้ว่า ทวนเงิน ทวนทอง ทวนมุก ทวนลงยา เป็นต้น ทวนล่างนี้สวมยึดไว้กับทวนบน และเป็นที่สำหรับผูก รัดอก เพื่อบังคับให้สายซอทั้ง 3 เส้นติดอยู่กับทวน นอกจากนั้นทวนล่าง ยังทำหน้าที่เป็นตำแหน่งสำหรับกดนิ้ว ลงบนสายในตำแหน่งต่างๆ
3. พรมบน คือส่วนที่ต่อจากทวนล่างลงมา ส่วนบนกลึงเป็นลูกแก้ว ส่วนตอนล่างทำเป็นรูปปากช้างเพื่อประกบกับกะโหลกซอ
4. พรมล่าง คือส่วนที่ต่อจากกะโหลกซอลงมาข้างล่าง ส่วนที่ประกบกับกะโหลกซอทำเป็นรูปปากช้าง เช่นเดียวกับส่วนล่างของพรมบน ตรงกลางของพรมล่างเจาะรูด้านบนเพื่อใช้สำหรับเป็นที่ร้อยหนวดพราหมณ์ เพื่อคล้องกับสายซอทั้งสามสายและเหนี่ยวรั้งให้ตึง ตรงส่วนปลายสุดของพรมล่างกลึงเป็น เกลียวเจดีย์ และตอนปลายสุดเลี่ยมด้วย ทองคำ หรือ ทองเหลืองเป็นยอดแหลม เพื่อที่จะปักกับพื้นได้ สะดวกยิ่งขึ้น คันซอสามสายทั้ง 4 ท่อนนี้จะมีลักษณะกลวงตลอด ยกเว้นพรมล่างตอนที่เป็นเกลียวเจดีย์เท่านั้นที่เป็นส่วนที่ตัน เพราะต้องการ ความแข็งแรง ในขณะปักสีเวลาบรรเลง และคันซอทั้ง 4 ท่อนนี้ จะสวมไว้กับแกนที่สอดไว้กับ กะโหลกซอ
5. ถ่วงหน้า ถ่วงหน้าของซอสามสาย เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ ติดอยู่ตรงหน้าซอ เพื่อควบคุมความถี่ของเสียง ทำให้มีเสียงนุ่มนวลไพเราะน่าฟังยิ่งขึ้น
6. หย่อง ทำด้วยไม้ไผ่ แกะให้เป็นลักษณะคู้ ปลายทั้งสองของหย่องคว้านเป็นเบ้าขนมครกเพื่อทำให้เสียง ที่เกิดขึ้นส่งผ่านไปยังหน้าซอมีความกังวานมากยิ่งขึ้น
7. คันสี (คันชัก) คันสีของซอสามสาย ประกอบด้วยไม้และหางม้า คันสีนั้นเหลาเป็นรูปคันศร โดยมากนิยมใช้ไม้แก้ว เพราะเป็นไม้เนื้อแข็ง และมีลวดลายงดงาม
เสียงของซอสามสาย
– สายเอก ถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียง ซอล และใช้ปลายนิ้วแตะที่ข้างสายโดยใฃ้นิ้วชี้ จะเป็นเสียง ลา, ใช้นิ้วกลางแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียง ที, ใช้นิ้วนางแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียงโด, ใช้นิ้วก้อยแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียง เร (เสียงสูง), ใช้นิ้วก้อยรูดที่สายจะเป็นเสียง มี (เสียงสูง)
– สายกลาง ถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียง เร และใช้นิ้วชี้กดลงบนสายจะเป็นเสียง มี, ใช้นิ้วกลางกดลงบนสายจะเป็นเสียง ฟา, ใช้นิ้วนางกดลงบนสายเป็นเสียง ซอล
– สายทุ้ม ถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียง ลา และใช้นิ้วชี้กดลงที่สายจะเป็นเสียง ที, ใช้นิ้วกลางกดลงที่สายจะเป็นเสียง โด, ใช้นิ้วนางกดลงที่สายจะเป็นเสียง เร
ซออู้
ซออู้ เป็นซอสองสาย ตัวกะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว โดยตัดปาดกะลาออกเสียด้านหนึ่ง และใช้หนังลูกวัวขึงขึ้นหน้าซอ กว้างประมาณ 13 – 14 ซม เจาะกะโหลกให้ทะลุตรงกลาง เพื่อใส่คันทวนที่ทำด้วยไม้จริง ผ่านกะโหลกลงไป ออกทะลุรูตอนล่าง ใกล้กะโหลก คันทวนซออู้นี้ ยาวประมาณ 79 ซม ใช้สายซอสองสายผูกปลายทวนใต้กะโหลก แล้วพาดผ่านหน้าซอ ขึ้นไปผูกไว้กับ ลูกบิดสองอัน ลูกบิดซออู้นี้ยาวประมาณ 17 –18 ซม โดยเจาะรูคันทวนด้านบน แล้วสอดลูกบิดให้ทะลุผ่านคันทวนออกมา และใช้เชือกผูกรั้งกับทวนตรงกลางเป็นรัดอก เพื่อให้สายซอตึง และสำหรับเป็นที่กดสายใต้รัดอกเวลาสี ส่วนคันสีของซออู้นั้นทำด้วย ไม้จริงยาวประมาณ 70 ซม ใช้ขนหางม้าประมาณ 160 – 200 เส้น ตรงหน้าซอใช้ผ้าม้วนกลมๆ เพื่อทำหน้าที่เป็นหมอนหนุน สายให้พ้นหน้าซอ ด้านหลังของกกะโหลกซอ แกะสลักเป็นรูปลวดลายสวยงาม และเป็นช่องทางให้เสียงออกด้านนี้ด้วย
ซออู้มีรูปร่างคล้ายๆกับซอของจีนที่เรียกว่า ฮู – ฮู้ ( Hu-hu ) เหตุที่เรียกว่าซออู้ก็เพราะ เรียกตามเสียงที่ได้ยินนั่นเองซอด้วงและซออู้ ได้เข้ามามีบทบาทในวงดนตรีเครื่องสายตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4 นี่เอง โดยได้ดัดแปลงมาจาก วงกลองแขกเครื่องใหญ่ ซึ่งมีเครื่องดนตรีที่ทำลำนำประกอบด้วย ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ปละ ปี่อ้อ ต่อมาได้เอากลองแขก ปี่อ้อ อก และเอา ทับกับรำมะนา และขลุ่ยเข้ามาแทน เรียกวงดนตรีชนิดนี้ว่า วงมโหรีเครื่องสาย มีคนเล่นทั้งหมด 6 คน รวมทั้ง ฉิ่งด้วย
ซออู้ เป็นซอที่มีเสียงทุ้มกังวาน ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายซอด้วง มีส่วนประกอบ ดังนี้
– กะโหลก ทำด้วยกะลามะพร้าว ตัดส่วนที่กว้างใกล้กับขั้ว ให้พูทั้งสามอยู่ด้านบน ใช้หนังลูกวัวหรือหนังแพะ ขึงเป็นหน้าตรงที่ตัด
– คันซอ ทำด้วยไม้หรืองาช้างกลึง แบ่งเป็นสองส่วน คือ ทวนบน นับตั้งแต่ลูกบิด ไปถึงปลายคัน ทวนล่างนับตั้งแต่ลูกบิดลงมาที่ตัวคันมีลวดหรือลูกแก้วคั่นเป็นระยะ ปลายทวนล่างสอดทะลุ กะโหลกลงไป เพื่อคล้องสายซอทั้งสองเส้น
– ลูกบิด มีสองลูก เสียบอยู่ที่ทวนบน ใช้ขึงสายซอ ซึ่งทำให้ด้วยไหมฟั่นเป็นเกลียว หรือทำด้วยเอ็นผูกคล้องปลายทวนล่างสุด ลูกบนสำหรับสายทุ้ม ลูกล่างสำหรับสายเอก
– รัดอก เป็นบ่วงเชือกใช้ลูกล่างสำหรับสายเอกรั้งสายซอ เพื่อให้ได้คู่เสียงสายเปล่าชัดเจน
– หมอน เป็นวัสดุที่วางหมุนระหว่างหน้าซอกับสายซอเพื่อให้ได้เสียงกับวาน บางทีเรียกว่า หย่อง
– คันชัก ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง กลึงให้ได้รูป ขึงเส้นหางม้า ประมาณ 250 เส้น เส้นหางม้านี้จะสอดเข้าระหว่าง สายเอกกับสายทุ้ม
การเทียบเสียง สายเอกมีระดับเสียงตรงกับสายทุ้มของซอด้วง สายทุ้มมีเสียงต่ำกว่าสายเอก 5 เสียง
เครื่องดีด
21 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in ดนตรีไทยแบ่งตามประเภท, เครื่องดีด ป้ายกำกับ:ดนตรีไทย, เครื่องดนตรีไทย, เครื่องดีด
พระปรคนธรรพ
21 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in ความเชื่อ ป้ายกำกับ:ตะโพน, พระปรคนธรรพ, พิธีกรรม/ความเชื่อ, เครื่องดนตรีไทย
ในวงการดนตรีไทย มีสิ่งหนึ่งที่ปฏิบัติกันมายาวนาน ก็คือ การไหว้ โดยส่วนใหญ่ หรือแทบจะทุกคนก่อนจะเริ่มเล่นเครื่องดนตรีก็จะต้องยกมือไหว้ และเมื่อเลิกเล่นก็จะยกมือไหว้อีก บางคนก็จะกราบลงกับเครื่องดนตรี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านักดนตรีไทยทุกคนถือว่า เครื่องดนตรีไทยทุกชนิดจะมีครูบาอาจารย์สิงสถิตอยู่นั่นเอง
นอกจากนี้นักดนตรีไทยก็ยังมีความเชื่ออีกว่าเครื่องดนตรีไทยถูก สร้างขึ้นมาจากเทพยดา หรือจะบอกอีกแบบหนึ่งว่า ศาสตร์ของดนตรีไทยถูกสร้างขึ้นมาจาก ดุริยะเทพ ก่อนที่จะมาเผยแพร่ให้แก่มนุษย์ ซึ่งทั้งหมดนี้คือการแสดงถึงศรัทธาของนักดนตรีไทยที่มีต่อบรมครูที่เป็นเทพ ซึ่งก็มีอยู่หลายองค์ แต่ละองค์ก็จะเป็นเทพแห่งศาสตร์ในแขนงต่างๆ เช่น พระปรคนธรรพ ก็จะเป็นที่นับถือกันมากในหมู่ของนักปี่พาทย์ หรือนักดนตรีใน วงปี่พาทย์ นั่นเอง เพราะว่านักดนตรีปี่พาทย์จะทราบกันดีว่า พระปรคนธรรพ ก็คือ ครูตะโพน และตะโพนทุกๆ ใบก็คือตัวแทนของพระปรคนธรรพ
ด้วยเหตุนี้เองนักดนตรีปี่พาทย์ส่วนใหญ่จะไม่รับประทาน หรือบริโภคเนื้อวัว เพราะว่าตะโพนที่พวกเรากราบไหว้ และนับถือ เป็นพระปรคนธรรพ ทำด้วยหนังวัว จึงไม่สามารถไหว้หนังแล้วกินเนื้อ และถ้าท่านผู้อ่านเริ่มที่จะศรัทธาต่อพระปรคนธรรพ หรือเทพองค์อื่นก็ควรจะหยุดบริโภคเนื้อวัว และอีกอย่างหนึ่งการไม่บริโภคเนื้อวัวก็จะทำให้เราได้กุศล และมีชีวิตที่ดีขึ้น
พระปรคนธรรพ มีกำเนิดมาจากหน้าผากของ พระพรหม (ผู้สร้างโลก) โดยพระพรหมสร้างพระปรคนธรรพให้จุติเป็น คนธรรพ ซึ่งก็คือเทวดาที่เป็นนักดนตรีอยู่บนสรวงสวรรค์ และต่อมาได้กลายมาเป็น เทวะฤๅษี มีนามว่า พระนารทมุนี หรือกล่าวโดยง่ายว่า พระนารทมุนี คือเทวดาที่บำเพ็ญตนเป็นฤๅษี (ไม่ใช่มนุษย์ที่เป็นฤๅษี เหมือนกับที่เราเห็นในรายการทีวี) จึงทำให้เหล่าคนธรรพบนสวรรค์จะให้ความเคารพ และยำเกรงต่อพระนารทมุนี หรือพระปรคนธรรพเป็นอย่างมาก ผมจะขอย้อนไปในเรื่อง ตำนานเพลงสาธุการ สักนิดหนึ่ง คือเมื่อครั้ง พระพุทธเจ้า ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการซ่อนตนไปอยู่บนพระเกศาของ พระอิศวร เมื่อครั้งที่ทั้งสองพระองค์ได้ประลองฤทธิ์กัน และสุดท้ายพระพุทธเจ้าไม่ยอมเสด็จลงมาจากพระเกศาของพระอิศวร จนกว่าพระอิศวรจะให้เหล่าเทวดา หรือคนธรรพบรรเลง เพลงสาธุการ จึงจะยอมเสด็จลงมา และพระอิศวรจึงรับสั่งให้เหล่าคนธรรพบรรเลงเพลงสาธุการเพื่อเป็นการอัญเชิญ พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากพระเกศา ซึ่งในคราวนั้นเหล่าเทวดา คนธรรพทั้งมวลก็เริ่มจะบรรเลงเพลงสาธุการ แต่เมื่อเหล่าคนธรรพทั้งมวล ซึ่งให้ความนับถือ และยำเกรงต่อพระนารทมุนี หรือพระปรคนธรรพจึงได้ให้ท่านผู้เป็นใหญ่ในคนธรรพ ขึ้นเพลงสาธุการด้วยตะโพนก่อนผู้อื่น และจากครั้งนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ ถ้าบรรเลงเพลงสาธุการก็จะต้องให้ตะโพนขึ้นนำมาก่อนทุกครั้ง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้นักดนตรีปี่พาทย์ให้ความเคารพต่อตะโพน เปรียบเป็นพระปรคนธรรพ
พระปรคนธรรพ นอกจากในวงการของนักดนตรีปี่พาทย์แล้ว ในสายของ โขน ละคร จะมีศีรษะเป็นเหมือนกับหัวโขนซึ่งจะมีลักษณะเป็นหน้ามนุษย์มีสีเขียวแก่ทั้ง ใบหน้า และมีชฎาดอกลำโพงอยู่บนศีรษะ ซึ่งก็จะมีเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่เป็นประจำว่าพระปรคนธรรพจะต้องเป็นสีขาว เพราะเนื่องจากว่าครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงเครื่องนุ่งขาวห่มขาวเป็นลักษณะของฤๅษี และถือไม้เท้ายาวข้างขวา ซึ่งนักดนตรีไทยส่วนใหญ่ก็จะมีบูชาที่บ้านในลักษณะของรูปภาพ ซึ่งหลายคนให้ความเคารพว่าเป็นพระปรคนธรรพในร่างของรัชกาลที่ 6 จึงทำให้ผู้ที่มีความนับถือรูปภาพนั้น ก็จะบอกว่าพระปรคนธรรพเป็นสีขาว แต่ก็จะมีอีกหลายคนบอกว่าภาพของรัชกาลที่ 6 นั้น ท่านทรงเครื่องแต่งเป็น พระปัญจสีขร และนุ่งขาวห่มขาวเหมือนกับศีรษะโขนที่เป็นสีขาว จึงทำให้เป็นที่ขัดแย้งกันอยู่พอสมควร แต่ผมลองพิจารณาด้วยตัวเองก็เห็นว่าภาพนั้น รัชกาลที่ 6 ท่านทรงเครื่องเป็นลักษณะของฤๅษี เพราะฉะนั้นก็สมควรที่จะเป็นพระปรคนธรรพมากกว่าพระปัญจสีขรที่ไม่ได้เป็น ฤๅษี แต่อย่างไรก็ดี ความคิดของผมก็มิได้ถือเป็นมติเอกฉันท์ ใครจะนับถือเป็นอย่างไรก็สุดแท้ แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์
แบ่งตามภาค–เครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน
16 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in ดนตรีไทยแบ่งตามภาค, ดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ป้ายกำกับ:ดนตรีภาคอีสาน, ดนตรีไทยภาคอีสาน, เครื่องดนตรีอีสาน, เครื่องดนตรีไทย
หืน เป็นเครื่องดนตรีกึ่งดีดกึ่งเป่าอย่างหนึ่งมี ทั้งที่ทำด้วยไม้ไผ่ |
แคน เป็น เครื่องดนตรีที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด ของ ชาวภาคอีสานเหนือ |
||
โหวด เป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่งที่ไม่มีลิ้น เกิดจากกระแสลมที่เป่าผ่านไม้รวก |
พิณ เป็นเครื่องดนตรีที่บรรเลง ด้วยการดีด มี ๒-๓ สาย แต่ขึ้นเป็นสองคู่ โดยขึ้นคู่ ๕ |
||
โปงลาง เป็นเครื่องดนตรีประเภทที่บรรเลง ทำนองด้วยการตี เพียงชนิดเดียว ของ ภาคอีสาน โดย บรรเลงร่วมกันกับแคน |
จะเข้กระบือ เป็นเครื่องดนตรีสำคัญ ชิ้นหนึ่งใน วงมโหรีเขมร เป็นเครื่องดนตร ีประเภทดีดในแนวนอน มี ๓ สาย |
||
กระจับปี่ เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด โดยใช้กระที่ทำจากเขาสัตว์ กล่องเสียงทำ ด้วยไม้ขนุนหรือไม้สัก |
ซอกันตรึม เป็นเครื่องสายใช้สี ทำ ด้วยไม้ กล่องเสียงขึงด้วยหนังงู มีช่องเสียง อยู่ด้านตรงข้ามหน้าซอ |
||
กลองกันตรึม เป็นเครื่องหนังชนิดหนึ่ง ทำด้วยไม้ขุดกลวง ขึงหน้าด้านหนึ่ง ด้วยหนังดึง ให้ตึงด้วยเชือก |
ปี่ไสล ใช้บรรเลงในวงกันตรึม เป็นปี่ประเภทลิ้นคู่ เช่นเดียวกับปี่ใน |
||
กรับคู่ กรับคู่ เป็นกรับทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ลักษณะเหมือนกับกรับเสภาของภาคกลาง |
แบ่งตามภาค–เครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ
16 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in ดนตรีไทยแบ่งตามภาค, ดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะ, ภาคเหนือ ป้ายกำกับ:ดนตรีภาคเหนือ, ดนตรีไทยของภาคเหนือ, เครื่องดนตรีภาคเหนือ, เครื่องดนตรีไทย
สะล้อหรือ ทะล้อ เป็นเครื่องสายบรรเลง ด้วยการสี ใช้คัน ชักอิสระ ตัวสะล้อที่เป็น แหล่งกำเนิดเสียงทำ ด้วยกะลามะพร้าว |
ซึง เป็นเครื่องสายชนิดหนึ่ง ใช้บรรเลงด้วยการดีด ทำ ด้วยไม้สักหรือไม้เนื้อแข็ง |
||
ขลุ่ย เช่นเดียวกับขลุ่ยของภาคกลาง |
ปี่ เป็นปี่ลิ้นเดียว ที่ตัวลิ้นทำด้วย โลหะเหมือนลิ้นแคน ตัวปี่ทำด้วยไม้ซาง |
||
ปี่แน มีลักษณะคลายปี่ไฉน หรือปี่ชวา แต่มี ขนาดใหญ่กว่า เป็นปี่ประเภท ลิ้นคู่ทำด้วยไม้ |
พิณเปี๊ยะ หรือ พิณเพียะ หรือบางทีก็เรียกว่า เพียะ หรือเปี๊ยะ กะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว |
||
กลองเต่งถิ้ง เป็นกลองสองหน้า ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง หรือไม้ เนื้ออ่อน |
ตะหลดปด หรือมะหลดปด เป็นกลองสองหน้า ขนาดยาวประมาณ ๑๐๐ เซนติเมตร |
||
กลองตึ่งโนง เป็นกลอง ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตัวกลองจะยาว มากขนาด ๓-๔ เมตร |
กลองสะบัดชัยโบราณ เป็นกลองที่ มีมานานแล้ว นับหลายศตวรรษ |
แบ่งตามภาค–เครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคใต้
16 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in ดนตรีไทยแบ่งตามภาค, ดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะ, ภาคใต้ ป้ายกำกับ:ดนตรีภาคใต้, ดนตรีไทยภาคใต้, เครื่องดนตรีภาคใต้, เครื่องดนตรีไทย
ทับ เป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญ ในการให้จังหวะ ควบคุม การเปลี่ยนแปลงจังหวะ |
กลองโนรา ใช้ประกอบการแสดง โนราหรือหนัง ตะลุง โดยทั่วไปมี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหน้า |
||
โหม่ง เป็นเครื่องดนตรี ที่มีส่วนสำคัญ ในการขับ บท ทั้งในด้านการให้เสียง |
ปี่ เครื่องดนตรีชนิดนี้มีความสำคัญใน การเสริมเสียงสะกดใจผู้ชม |
||
แตระพวงหรือกรับพวง เป็นเครื่องประกอบจังหวะทำจากไม้เนื้อแข็ง |
|||
แบ่งตามภาค–เครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง
16 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in ดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะ, ภาคกลาง ป้ายกำกับ:ดนตรีภาคกลาง, ดนตรีไทยภาคกลาง, เครื่องดนตรีภาคกลาง, เครื่องดนตรีไทย
ซอสามสาย ซอสามสาย เป็นซอ ที่มีรูปร่างงดงามที่สุด ซึ่งมีใช้ใน วงดนตรีไทย มาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย |
ซอด้วง ซอด้วง เป็นเครื่องสายชนิดหนึ่ง บรรเลงโดยการใช้คันชักสี กล่องเสียง ทำ ด้วยไม้เนื้อแข็ง |
||
ซออู้ ซออู้ เป็นเครื่องสายใช้สี กล่องเสียงทำด้วยกะโหลกมะพร้าว ขึ้นหน้าด้วยหนังวัว มีช่องเสียงอยู่ด้านตรง |
จะเข้ จะเข้ เป็นเครื่องสาย ที่ใช้บรรเลงด้วยการดีด โดยปกติมีขนาดความ สูงประมาณ ๒๐ เซนติเมตร |
||
ขลุ่ย ขลุ่ย ของไทยเป็นขลุ่ย ในตระกูลรีคอร์ดเดอร์ คือ มีที่บังคับแบ่งกระแส ลม ทำให้เกิดเสียงในตัวไม่ใช่ขลุ่ยผิว |
ปี่ ปี่ เป็นเครื่องเป่าที่มีลิ้น ทำด้วยใบตาล เป็นเครื่องกำเนิดเสียง เป็นประเภทลิ้นคู่ (หรือ ๔ ลิ้น) |
||
ระนาดเอก ระนาดเอก เป็นระนาดเสียงแหลมสูง ประกอบ ด้วยลูกระนาด ที่ทำด้วยไม้ไผ่บงหรือไม้ เนื้อแข็ง |
ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้ม ทำด้วยไม้ไผ่ หรือไม้เนื้อแข็งมีผืนละ ๑๘ ลูก มีรูป ร่างคล้ายระนาดเอก |
||
ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงใหญ่ เป็นหลักของวงปี่ พาทย์ และวงมโหรีใช้บรรเลงทำนองหลัก มีลูกฆ้อง ๑๖ ลูก |
ฆ้องวงเล็ก มีขนาดเล็กกว่า แต่ เสียงสูงกว่าฆ้องวงใหญ่ มีวิธีตีเช่นเดียว |
||
โทนรำมะนา โทน : รูปร่างคล้ายกลองยาว ขนาดเล็ก ทำด้วยไม้ หรือดินเผา ขึงด้วยหนัง ดึงให้ตึงด้วยเชือก |
กลองแขก กลองแขก เป็น กลองที่ตีหน้าทับได้ทั้งในวงปี่พาทย์ มโหรีและบางกรณีวงเครื่องสายก็ได้ |
||
กลองสองหน้า กลองสองหน้า เป็นชื่อของกลองชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือน กลองลูกหนึ่ง ในเปิงมางคอกขึง |